วันพุธที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2555

จับตาไข้เลือดออกระบาดหลังฝน เข้ม 5 มาตราการลดป่วย-ตาย


จับตาไข้เลือดออกระบาดหลังฝนเข้ม5มาตรการลดป่วยตาย

กรมควบคุมโรค ออกโรงเตือนโรคไข้เลือดหลังหน้าฝน แนะ 5 มาตรการควบคุม หวังลดอัตราการเจ็บป่วย และเสียชีวิต

นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้ออกมาตรการควบคุมโรคไข้เลือดออก 5 ด้าน ดังนี้ 1.การเฝ้าระวังควบคุมโรคในทันทีที่พบผู้ป่วยโรคไข้เลือดออก 2.ป้องกันไม่เกิดโรคซ้ำหรือเพิ่มมากขึ้น 3.การเข้าถึงบริการรักษาต้องเป็นไปอย่างรวดเร็วเพื่อลดการป่วยตาย 4.การสื่อสารความเสี่ยงต้องชัดเจนและทั่วถึง เพื่อให้ประชาชนและหน่วยงานให้ความสำคัญและร่วมมือ 5.การร่วมมือทั้งภาครัฐ เอกชน องค์กรท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ทั้ง 5 มาตรการต้องอาศัยเจ้าหน้าที่จากทุกภาคส่วน และประชาชนดำเนินการอย่างจริงจังและต่อเนื่อง เพื่อลดจำนวนการป่วยตายจากโรคไข้เลือดออก

นพ.พรเทพกล่าวว่า สำหรับสถานการณ์ไข้เลือดออก มักพบมากหลังฝนตก ซึ่งเกิดแอ่งน้ำขังหรือน้ำขังตามภาชนะต่างๆ กลายเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายได้ และน้ำฝนมักเป็นน้ำที่ยุงลายชอบวางไข่มากที่สุด ป้องกันโรคด้วยการปิดฝาภาชนะใส่น้ำให้สนิท เปลี่ยนน้ำในภาชนะที่ปิดฝาไม่ได้ทุก 7 วัน ปล่อยปลากินลูกน้ำ ปรับปรุงสภาพแวดล้อมให้สะอาด ไม่เป็นที่เกาะพักและเพาะยุงลาย ปฏิบัติตาม 5 มาตรการเป็นประจำต่อเนื่องทุก 7 วัน นอกจากนี้ต้องระวังไม่ให้ยุงกัด

ทั้งนี้สถานการณ์โรคไข้เลือดออก จากข้อมูลสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ตั้งแต่ต้นปี 2555-เดือนก.ย. พบผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกสะสม 38,500 ราย คิดเป็นอัตราป่วย 60.27 ต่อประชากรแสนคน และมีผู้เสียชีวิต 42 รายในรอบสัปดาห์ ที่ผ่านมามีผู้เสียชีวิตเพิ่มถึง 5 ราย จากจ.พิษณุโลก นคร ปฐม สมุทรปราการ สุรินทร์ และแพร่ จังหวัดละ 1 ราย เมื่อแยกเป็นรายภาคที่มีจำนวนผู้ป่วยมากที่สุด ได้แก่ ภาคกลาง 14,505 ราย รองลงมา ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 10,990 ราย ภาคใต้ 6,761 ราย และภาคเหนือ 6,244 ราย ตามลำดับ แต่เมื่อคิดจากอัตราป่วยจะพบว่าภาคใต้มีอัตราป่วยมากที่สุด คือ 76.03 ต่อประชากรแสนคน และตลอดปี 2554 ที่ผ่านมา ทั่วประเทศมีผู้ป่วยจำนวน 65,971 ราย เสียชีวิต จำนวน 59 ราย


ที่มา: หนังสือพิมพ์ข่าวสด

งดเหล้าเท่ากับงดการเสพสิ่งทำลายสติปัญญา


ในช่วงระหว่างนี้ เรายังคงอยู่กับช่วงเข้าพรรษา ตลอด 3 เดือนนี้ มีสิ่งสำคัญหลากหลายที่จะชวนให้ทำดีในพรรษานี้ โดยเฉพาะการงดเหล้าเข้าพรรษาที่ดูเหมือนว่าเป็นสิ่งที่ท้าทายกับผู้คนที่ต้องเอาชนะใจตนเอง ชนะใจกับอบายมุขนี้ให้ได้

งดเหล้าเท่ากับงดการเสพสิ่งทำลายสติปัญญา

แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต แห่งเสถียรธรรมสถาน บอกกล่าวไปยังผู้ที่ต้องการและยึดมั่นที่จะทำดีในพรรษานี้ว่า หากยังมีชีวิตอยู่ขณะสุดท้ายของชีวิต อยากให้ลองคิดดูว่าจะอยากอยู่อย่างไร อยากอยู่อย่างตายทั้งเป็นหรืออยู่อย่างสงบเย็นและเป็นสุข หากคิดว่าจะเลือกอยู่อย่างสงบเย็นและเป็นสุข ต้องงดทุกอย่างที่จะทำให้คุณอยู่อย่างตายทั้งเป็น เวลาที่เราพบว่าเราตัดสินใจดีแล้ว กำลังใจจะกลับมา จะเรียนรู้ที่จะต่อสู้กับหัวใจของคุณได้ และนั่นคือการงดที่ดีที่สุดตลอดชีวิตของคุณ งดเหล้าเท่ากับงดการเสพสิ่งที่ทำลายสติปัญญา งดได้เมื่อไหร่ก็งอกงามได้เมื่อนั้น

อย่างที่ทราบกันดีว่าการงดของมึนเมานั้นนับเป็นหนึ่งในศีลห้าข้อ ที่เหล่าพุทธศาสนิกชนพึงปฏิบัติ ซึ่งในเรื่องนี้แม่ชีศันสนีย์พูดได้อย่างน่าสนใจว่า เรื่องของศีลของ 5 หากไม่สามารถละได้ในข้อนี้ ข้อ 1-4 จะบกพร่องมากที่สุด เวลาที่ทำลายสติปัญญา ก็จะทำผิดศีลข้ออื่นได้ด้วย ก็หวังว่าเวลาที่มีกำลังใจในการบอกกับตัวเองว่าเราทำได้ทันที ก็คือทันที ก็คือการเจริญสติปัญญา หากมีสติปัญญาอารักขาได้เมื่อไหร่ ก็จะไม่กลับไปเสพสิ่งที่ทำลายสติปัญญา เพราะสติปัญญาเป็นดังขุมทรัพย์ที่ยิ่งใหญ่ที่จะทำให้คุณรู้ตื่นและเบิกบาน มาช่วยกันทำให้ชีวิตเบิกบานอยู่ด้วยธรรม แล้วจะพบว่าเราจะไม่กลับไปในสิ่งที่เคยเดินผ่านมาและอยู่อย่างตายทั้งเป็น

“ในบางเรื่องที่เราอาจคิดว่าเราจะผ่านหรือไม่ผ่าน กลับมาหายใจลึกๆ แล้วถามตัวเองว่าขณะที่กายอยู่ที่นี่ใจรู้ตื่นและเบิกบานที่นี่ ไม่มีอะไรที่คุณทำไม่ได้ ทุกอย่างเป็นการเดินทางที่จะทำให้คุณเข้าถึงเป้าหมายได้ อย่าหลงทางเสียก่อน ตัดสินใจสตาร์ทมาดีแล้ว ตั้งสติอีกหน่อยถึงเป้าหมายแน่นอน ถ้าคุณกลับไปดื่มอีก แม้แต่หยดเดียว คุณต้องไปตั้งหลักที่จะต้องสตาร์ทอีกครั้ง อย่างหนักกว่าค่ะ ไหนๆ ก็เดินทางมาแล้ว แม้จะมีมารเข้ามาบ้าง ลองกลับไปที่ลมหายใจแห่งสติ และบอกกลับตัวเองว่าหากไม่มีมาร ปัญญาก็ไม่เกิด มันมาแค่ล่อคุณเท่านั้น เห็นมารมา จ๊ะเอ๋แล้วบ๊ายบายแล้วก้าวต่อไปเลย คุณทำได้ค่ะ”

แม่ชีศันสนีย์ ยังบอกอีกว่า “มีคนหลายคนบอกว่าผู้หญิงมักตกเป็นเหยื่อ แม่บอกกับผู้หญิงด้วยกันว่าเราเป็นมนุษย์ที่แท้ เราไม่ได้เป็นแค่เหยื่อ ตอนนี้ผู้หญิงดูเหมือนเราจะตกเป็นเหยื่อก็จริง ถ้าเราไม่มีสติปัญญา เราจะกลายเป็นผู้หญิงที่ล่าเหยื่อเสียเอง อันนั้นน่ากลัวมาก ดังนั้นตอนนี้รักษาความเป็นมนุษย์เอาไว้ อย่าทำให้กลายเป็นเหยื่อ แต่เป็นมนุษย์ที่แท้ เมื่อไม่เป็นแค่เหยื่อแล้ว เราก็จะไม่เป็นคนที่ล่าเหยื่อด้วย อยากให้รู้ว่าความงดงามของผู้หญิงไม่ได้อยุ่ที่ความเก่ง แต่อยู่ที่คุณจะอยู่ได้อย่างรอดปลอดภัยจากสติปัญญาของคุณเอง เป็นผู้หญิงที่แท้อย่ามักง่ายและเป็นเหยื่อของการเสพสิ่งที่ทำลายสติปัญญา คุณทำได้”

ไม่ว่าจะเป็นเพศใด วัยใดก็ตาม หากแม้นตั้งมั่นที่จะทำดี ในระยะพรรษานี้ยังมีเวลาเหลืออยู่ที่จะทำได้ หากตั้งสติให้กับตัวเอง และตั้งมั่นกับสิ่งที่ทำ เชื่อได้ว่าปัญญาก็จะเกิดตามมาได้อย่างไม่ยากเย็น

เรื่องโดย : สุนันทา สุขสุมิตร Team content www.thaihealth.or.th




วันอังคารที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2555

โรคแพ้อากาศ

โรคแพ้อากาศ

     โรคแพ้อากาศ...เป็นโรคที่พบบ่อยทั้งในผู้ใหญ่และเด็ก ผู้ป่วยมักจะมาด้วยอาการ จาม คัดจมูก
มีน้ำมูกใส ๆ ไหลเป็น ๆ หาย ๆ อาการเหล่านี้มักมีความสัมพันธ์กับสิ่งกระตุ้น เช่น
ละอองเกสรของพืช ไรฝุ่นและสัตว์เลี้ยง ผู้ป่วยบางรายอาจมาด้วยอาการของไซนัสอักเสบเรื้อรัง
อาการเหล่านี้ถึงแม้ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่ก็เป็นที่รำคาญต่อการดำรงชีวิตของผู้ป่วยและบุคคลใกล้เคียง
ทำไมจึงเป็นโรคภูมิแพ้
ผู้ป่วยที่เป็นโรคแพ้อากาศมักมีพื้นฐานทางกรรมพันธ์ เช่น การมีพ่อแม่หรือพี่น้องเป็นโรคภูมิแพ้
รวมทั้งมีปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมเป็นตัวเสิรม เช่น การที่มีไรฝุ่นเป็นจำนวนมากในบ้าน นอกจากนี้
ปัจจัยส่งเสริมอื่น ๆ เช่น มลพิษในอากาศหรือควันบุหรี่ ก็จะทำให้อาการแพ้อากาศเป็นมากขึ้นได้
จะทราบได้อย่างไรว่าเป็นโรคแพ้อากาศ นอกจากประวัติและการตรวจร่างกายแล้ว การตรวจพิเศษทางห้องปฏิบัติการที่จะช่วยในการวินิจฉัยโรคแพ้อากาศ ได้แก่
1. การทดสอบภูมิแพ้ทางผิวหนัง จะช่วยในการบอกถึงสารที่ก่อภูมิแพ้ สารก่อภูมิแพ้ที่สำคัญในประเทศไทย ได้แก่
ตัวไรฝุ่น แมลงสาบ สัตว์เลี้ยงในบ้าน เช่น แมวและสุนัข ละอองเกสรหญ้า และต้นไม้ เชื้อราในบ้าน เป็นต้น การที่
ทราบถึงสารก่อภูมิแพ้ จะมีประโยชน์อย่างมากในการแนะนำผู้ป่วยให้หลีกเลี่ยงจากสารก่อภูมิแพ้เหล่านั้น
2. การตรวจเซลล์ภูมิแพ้ในจมูก สามารถช่วยในการวินิจฉัยโรคภูมิแพ้ และช่วยแยกโรคภูมิแพ้จากโรคติดเชื้อในจมูก
3. การทดสอบอื่น ๆ เช่น การส่องดูจมูกด้วยเครื่องมือพิเศษ (Rhino-scopy) การ X-Ray ดูในโพรงอากาศไซนัส
เพื่อวินิจฉัยภาวะไซนัสอักเสบ ซึ่งอาจพบร่วมกับภาวะภูมิแพ้ทางจมูก เป็นต้น
จะปฏิบัติตัวอย่างไร เมื่อเป็นโรคแพ้อากาศ 1. หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นและปัจจัยส่งเสริม เช่น คลุมที่นอนและหมอน ถ้าแพ้ตัวไรฝุ่น ขจัดแมลงสาบและสัตว์เลี้ยงในบ้าน
ถ้าแพ้สารเหล่านี้ การใช้เครื่องปรับอากาศจะช่วยกรองเอาสารก่อภูมิแพ้บางอย่างออกไปจากบ้าน เป็นต้น
2. ล้างจมูกอย่างสม่ำเสมอด้วยน้ำเกลือ จะช่วยลดปริมาณสารก่อภูมิแพ้ที่อยู่ในจมูก และอาจมีผลลดการติดเชื้อในโพรงไซนัส
เนื่องจากทำให้น้ำมูกไหลออกมาได้ดีขึ้น และไม่มีการอุดตันของน้ำมูกที่มาจากโพรงไซนัส วิธีการล้างจมูกอย่างง่าย ๆ คือ
•  1. ผสมน้ำต้มสุก 500 ซีซี ( ครึ่งลิตร ) กับเกลือ 1 ช้อนชา
•  2. เทน้ำเกลือลงในแก้ว และดูดด้วยลูกยางแดง หรือ Syringe
•  3. ให้ผู้ป่วยก้มหน้า กลั้นหายใจ พร้อมกับบีบน้ำเข้าไปในรู้จมูกช้า ๆ น้ำเกลือควรจะไหลกลับลงมาข้างล่าง
        หรือ ไหลไปที่จมูกอีกข้างหนึ่ง ไม่ควรให้คนไข้แหงนหน้า เพราะจะทำให้สำลักน้ำเกลือ
•  4. ให้ผู้ป่วยสั่งน้ำมูก และเช็ดน้ำมูกที่เหลือทั้งหมด
3. การใช้ยา Antihistamine ซึ่งจะช่วยลดอาการคันจมูก น้ำมูกไหลและอาการจามได้ ในปัจจุบันมียา Antihistamine
ใหม่ ๆ ที่มีผลทำให้ง่วงนอนน้อยกว่ายาเดิมได้
4. การใช้ยาพ่น Steroid จะช่วยลดอาการคันจมูก คัดจมูก น้ำมูกไหลและอาการจามได้ การใช้ยาพ่น Steroid ในขนาด
ที่เหมาะสมจะมี ผลข้างเคียงน้อยกว่าการรับประทานยา Steroid
5. การฉีดวัคซีนภูมิแพ้ เป็นการฉีดสารก่อภูมแพ้ขนาดน้อย ๆ ติดต่อกันเป็นเวลา 2-3 ปี วิธีนี้จะทำให้ร่างกายทนต่อสารก่อภูมิแพ้
และทำให้ลดปริมาณการใช้ยาลง
จาก Gymboree Newsletter ฉบับที่ 10 ปี 2003

ที่มา : http://www.drug2home.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=5363587

นวดหน้าอกลดความเสี่ยงมะเร็งเต้านม

นวดหน้าอกลดความเสี่ยงมะเร็งเต้านม
    การศึกษาวิจัยชิ้นหนึ่ง มีผู้หญิงเข้าร่วม 4,700 คน แล้วพบว่าผู้หญิงที่สวมใส่บราตลอด 24 ชั่วโมง มีความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งเต้านมมากกว่าผู้หญิงที่ไม่ใส่บรา ซึ่งสันนิษฐานกันว่าเพราะการสวมบราจะไปกดทับต่อมน้ำเหลือง ทำให้การขับของเสียถูกจำกัดลง ส่งผลให้เกิดความเสี่ยงของโรคมะเร็งเต้านมนอกจากคำแนะนำที่ให้สวมใส่บราให้น้อยกว่า 12 ชั่วโมงต่อวันแล้ว การนวดเต้านมเพื่อให้โลหิตและน้ำเหลืองไหลเวียนได้ดี ก็เป็นวิธีหนึ่งที่น่าลองทำทีเดียวค่ะ

ข้อปฏิบัติก่อนนวด- ถอดบราก่อนนวด
- อย่าลงน้ำหนักแรงจนเกินไป ควรกดอย่างพอเหมาะและนุ่มนวล

ขั้นตอนนวดหน้าอกด้วยตัวเอง
1. ใช้ปลายนิ้ววางที่หัวนม จากนั้นค่อย ๆ ลากออกช้า ๆ และนุ่มนวล

2. ใช้มือทั้งสองข้างประคองเต้านมไว้ นวดเบา ๆ คล้าย ๆ กับการเคลื่อนตัวด้วยการยกขึ้น และกดลง


3. มือทั้งสองข้างยังประคองอยู่ที่เต้านม จากนั้นลากนิ้วทั้งสองออกจากกันในลักษณะตามเข็มนาฬิกาและทวนเข็มนาฬิกา ทั้งข้างบนและขางล่าง ระวังอย่ากดแรงลงน้ำหนักแต่เพียงเบามือ

4. ใช้มือทั้งสองขางประคองเต้านมตามรูป จากนั้นค่อย ๆ ขยับเคลื่อนมือออก เพื่อช่วยใหเกิดการไหลเวียนของเหลวในทางที่ดี


   แนะนำไว้ว่าควรนวดอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้งและถ้าพบก้อนที่ผิดปกติระหว่างการนวดให้รีบปรึกษาแพทย์ด่วนค่ะ.....
บทความจาก : women.sanook

วันอาทิตย์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2555

ผู้ป่วยภูมิแพ้ เป็นโรคมะเร็งน้อยกว่าคนทั่วไป


นักวิทยาศาสตร์ เผยผลการศึกษาเรื่องมะเร็งและภูมิแพ้ พบคนที่เป็นภูมิแพ้ จะมีโอกาสเจ็บป่วยเป็นมะเร็งน้อยกว่าคนอื่น
นักวิทยาศาสตร์ เชื่อว่า อาการภูมิแพ้ทั้งหลายเกิดขึ้นเพื่อกระตุ้นระบบภูมิคุ้มโรค เพื่อช่วยปัดเป่าอาการโรคที่อาจจะถึงตายให้พ้นไป
หมอโรนัลด์ คริสตัล หัวหน้าแผนกโรคปอดและวิกฤติบริบาลของศูนย์แพทย์เวลล์ คอร์เนลล์ ในกรุงนิวยอร์ก กล่าวว่า ‘ภูมิแพ้เป็นการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มโรคทั่วไปของเรา มันเป็นเรื่องที่พิสูจน์กันยาก และก็เคยได้ยินการแสดงความสงสัยบางเรื่อง แต่มันก็เป็นความเห็นกันในด้านนี้ และการศึกษาหนนี้ก็ยืนยันเพิ่มเติมอีก’
ผลการศึกษาแสดงว่า สตรีที่เป็นหืด จะเป็นโรคมะเร็งรังไข่น้อยกว่าทั่วไป ร้อยละ 30 เด็กที่เป็นภูมิแพ้อากาศ จะเป็นโรคมะเร็งของเม็ดโลหิต น้อยกว่าเด็กอื่น ถึงร้อยละ 40
นักวิจัยยังได้รายงานว่า พบหลักฐานเพิ่มขึ้นว่า การเป็นภูมิแพ้เป็นผลดีทางการแพทย์ และพบว่าเด็กที่เป็นภูมิแพ้ที่มากับอากาศ จะไม่ค่อยเป็นมะเร็งของคอ ผิวหนัง ปอด และลำไส้ ขณะเดียวกัน การศึกษาที่แคนาดาก็แสดงว่าผู้ที่เป็นภูมิแพ้ หรือไข้ละอองฟาง จะมีโอกาสที่จะเป“นมะเร็งของตับอ่อนน้อยกว่าคนอื่นถึงร้อยละ 58
Content by VoiceTV

"ก๊าซในทางเดินอาหาร" สัญญาณเตือนโรคร้าย !!!


ก๊าซในทางเดินอาหาร ถือเป็นเรื่องธรรมชาติที่ทุกคนต้อง “เรอ-ผายลม” แต่ คงไม่พึงประสงค์นักหากผิดที่ผิดทาง สิ่งเหล่านี้เกิดจากการมีก๊าซในทางเดินอาหาร ซึ่งร่างกายต้องขับออกมาอยู่เป็นประจำ แต่หากมีมากเกินไปจะทำให้เกิดการจุกเสียดแน่นท้อง รวมทั้งอาการอื่นๆ ตามมา 
ยิ่ง ในภาวะปัจจุบัน สังคมขับเคลื่อนให้คนทำงานแข่งกับเวลามากขึ้น จำต้องรับประทานอาหารจานด่วนเกือบทุกวัน เพื่อย่นระยะเวลาการไปถึงที่ทำงานให้เร็วขึ้น หรือบางคนรีบร้อนจนไม่ทันเคี้ยวอาหารให้ละเอียด เมื่อวงจรชีวิตเร็วขึ้นๆ ขณะที่ระบบของร่างกายยังทำงานในจังหวะจะโคนดังเดิม โรคต่างๆ ก็ตามมา
โรค ก๊าซในทางเดินอาหาร หลายคนอาจไม่ให้ความสนใจนัก เพราะไม่มีผลร้ายแรงต่อร่างกาย แต่อาจบ่งชี้ว่า คุณกำลังประสบกับภาวะโรคร้ายอยู่ !!
นพ.สว่างพงษ์ พูลทรัพย์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญสาขาอายุรศาสตร์โรคทางเดินอาหารและตับ ศูนย์การแพทย์โรงพยาบาลกรุงเทพ แนะนำว่า ก๊าซในทางเดินอาหาร นับวันยิ่งเป็นปัญหาทำให้มีผู้ที่ทนทุกข์ทรมานจากอาการเหล่านี้มากขึ้น อาจเนื่องจากระบบการใช้ชีวิตของมนุษย์มีความรวดเร็วขึ้น ส่งผลให้บริโภคอาหารที่ก่อให้เกิดก๊าซมากขึ้นไปด้วย
ก๊าซในทางเดิน อาหารเกิดจากปัจจัยแรกคือ กลืนอากาศเข้าไป ส่วนใหญ่เป็นก๊าซไนโตรเจนและก๊าซออกซิเจน คนส่วนใหญ่มักนึกไม่ถึงว่าโดยปกติเราจะกลืนก๊าซทุกๆ ครั้งที่กลืนน้ำหรืออาหารเฉลี่ยประมาณ 2.6 ลิตรต่อน้ำ 1.5 ลิตรต่อวัน และอาจมากกว่านี้ในผู้ป่วยที่มีความผิดปกติ ซึ่งกลืนก๊าซโดยไม่รู้ตัว โดยก๊าซที่กลืนมักถูกขับออกด้วยการเรอ และส่วนน้อยถูกขับออกด้วยการผายลม อย่างน้อยประมาณ 0.5 ลิตรต่อวัน
ปัจจัยที่สอง เกิดจากการสร้างก๊าซขึ้นมาของร่างกายส่วนใหญ่ โดยแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่จะย่อยอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต และน้ำตาลที่ย่อยยากบางชนิด และจากปฏิกิริยาของสารในร่างกาย กลุ่มนี้จะเป็นประเภทก๊าซไฮโดรเจน, คาร์บอนไดออกไซด์, มีเทน ตลอดจนก๊าซอย่างอื่นอีกเล็กน้อย อันจะทำให้เกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์
“คน เราผายลมเฉลี่ย 10-20 ครั้งต่อวัน ในปริมาณก๊าซที่ถูกขับออกมาถึง 0.5-1.5 ลิตรต่อวัน โดยไม่ขึ้นอยู่กับอายุหรือเพศ”
คนไข้มักมีอาการแน่นท้อง ท้องอืด เรอบ่อย ผายลมบ่อยกว่าปกติหรือเห็นผิดปกติ โดยอาการเหล่านี้ผู้ป่วยเองรับรู้ว่าเกิดก๊าซภายในทางเดินอาหารมากกว่าปกติ ขณะเดียวกันแพทย์ตั้งข้อสังเกตว่า หากมีอาการเหล่านี้บ่อยๆ หรือนานๆ บ่งชี้ได้ถึงคนไข้อาจเป็นโรคร้ายแรงอยู่เดิมแล้ว อันจะกระตุ้นให้เกิดก๊าซในทางเดินอาหารมากกว่าปกติ เช่น โรคลำไส้แปรปรวน โรคกรดไหลย้อน แผลในกระเพาะอาหาร มะเร็งในทางเดินอาหาร ฯลฯ ดังนั้นควรให้ความสำคัญโดยเฉพาะผู้ที่มีอายุมาก ตลอดจนคนที่ป่วยมานานและทวีความรุนแรงมากขึ้น
รวมถึงคนไข้ที่มีอาการ เตือนบางอย่าง เช่น น้ำหนักลดผิดปกติ โลหิตจาง ถ่ายอุจจาระ ท้องผูก หรือท้องเสียเป็นประจำ
การรับประทานอาหารบางประเภท เป็นอีกปัจจัยกระตุ้นให้เกิดก๊าซในทางเดินอาหาร ดังนั้นผู้ป่วยควรเลี่ยงอาหารประเภทนม ไอศกรีม เนย โยเกิร์ต น้ำอัดลม น้ำผึ้ง หรือของขบเคี้ยว เช่น ถั่วต้ม ถั่วเหลือง ลูกอม หมากฝรั่ง ข้าวโอ๊ต ข้าวโพด มันฝรั่ง เมล็ดพืชอบแห้ง ตลอดจนกะหล่ำปลี บรอกโคลี เป็นต้น
ผู้ มีภาวะเสี่ยงโรคนี้ ควรเคี้ยวอาหารให้ละเอียด หลีกเลี่ยงการพูดคุยในระหว่างกินอาหาร เพื่อไม่ให้อากาศเข้าสู่ทางเดินอาหารมากเกินไป และไม่ควรนอนหรือเอนตัวหลังรับประทานอาหาร ควรออกกำลังกายอยู่เสมอ เพื่อช่วยให้ลำไส้ทำงานได้ดีขึ้น
ส่วนการรักษาด้วยยาบางชนิดจะออก ฤทธิ์โดยกระตุ้น การบีบตัวของกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนบน ซึ่งต้องระวังผลข้างเคียงในกรณีที่ใช้ยาติดต่อกันนาน ดังนั้นคนไข้ไม่ควรบริโภคอาหารที่ก่อให้เกิดความเสี่ยง อย่างไรก็ตาม อาการดังกล่าวอาจมาจากสาเหตุอื่น เช่น ผู้ป่วยที่มีอายุมาก มีอาการมานานหรือแย่ลง รวมทั้งมีอาการเตือน เช่น โลหิตจาง น้ำหนักลดผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์ทันที
เมื่อรู้เช่นนี้แล้ว การรับประทานอาหารแต่ละมื้อ และการใช้ชีวิตประจำวันจึงควรเอาใจใส่ เพื่อจะได้ห่างไกลจากโรคร้าย มีชีวิตอยู่กับคนที่เรารักไปนานๆ
ที่มา : ศูนย์ข้อมูลสุขภาพกรุงเทพ
http://www.bangkokhospital.com , http://www.bangkokhospital.com , http://www.bangkokhealth.com ,http://www.bangkokhealth.com

กินไข่อย่างไรให้ดีต่อสุขภาพ


การกินไข่ในปริมาณ เหมาะสมตามวัยจะช่วยลดไขมันส่วนเกิน และควบคุมระดับคอเลสเตอรอลให้เป็นปกติ ได้อย่างง่ายดายค่ะ
เด็กอายุ 1 ปีจนถึงเด็กวัยเรียน ควรบริโภคไข่วันละ 1 ฟองผู้ใหญ่ที่มีภาวะร่างกายปกติ ควรบริโภคไข่ 3-4 ฟองต่อสัปดาห์
คนวัยทำงานสุขภาพดี สามารถบริโภคไข่ได้ทุกวัน ไม่เพิ่มคอเลสเตอรอลและไม่ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ
กลุ่มผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจ หรือโรคที่ต้องหลีกเลี่ยงอาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูง ก็ควรบริโภคไข่เพียง 1 ฟองต่อสัปดาห์ หรือตามคำแนะนำของแพทย์
นอกจากแล้วสิ่งที่ทุกคนควรทราบไว้นะคะ ไข่ไม่ได้เป็นสาเหตหลักของโรคหัวใจและหลอดเลือด
Content by Voice TV