วันอังคารที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2555

6 อาหารเพื่อหัวใจดีๆ


วันนี้มี 6 อาหารรอบตัวที่ช่วยบำรุงหัวใจ มาดูกัน
1. ผักผลไม้ที่ลงท้ายด้วยคำว่า "-เบอร์รี" เช่น สตรอว์เบอร์รี ลูกหม่อน (มัลเบอร์รี) ที่ใช้ใบเลี้ยงไหม ผักผลไม้ทั้งผลที่ไม่หวานจัด เช่น ส้ม ส้มโอ ชมพู่ ฝรั่ง มะเขือเทศ ฯลฯ
2. ขนมปังข้าวไรย์หรือธัญพืชไม่ขัดสีข้าวกล้อง ถั่วเหลือง
3. อะโวคาโด หรือไขมันพืชชนิดดี น้ำมันมะกอก เมล็ดพืชเปลือกแข็งกะเทาะเปลือกถั่วลิสงหรือเนย-ครีมที่ทำจากพืชเหล่านี้ เช่น เนยถั่วลิสง น้ำมันพืชชนิดดีจะให้ผลดีเมื่อกินแต่น้อย หรือใช้แทนน้ำมันชนิดอื่น (ลดน้ำมันชนิดอื่นให้น้อยลง ไม่ใช่กินอย่างอื่นเท่าเดิม แล้วเสริมเพิ่มเข้าไป)
4. แซลมอน หรือปลาทะเลที่ไม่ผ่านการทอดมีน้ำมันชนิดดีพิเศษหรือโอเมกา-3ป้องกันโรคหัวใจขาดเลือด หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ไขมันไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง ลดการอักเสบซึ่งทำให้คราบไขที่ผนังหลอดเลือดหนาตัวเร็วขึ้น-หลอดเลือดตีบตันเร็วขึ้น การทอดซึ่งมีระดับความร้อนสูงกว่านึ่ง ต้ม แกง ผัด ทำให้โอเมกา-3ซึมออกจากเนื้อปลา และน้ำมันที่ใช้ทอดซึมเข้าเนื้อปลาแทน ทำให้ปลาทะเลซึ่งน่าจะเป็นอาหารที่มีแคลอรีไม่สูง กลายเป็นอาหารที่มีแคลอรีสูง คล้ายกับการกินปลาผสมน้ำมันที่ใช้ทอด ส่วนปลาน้ำจืดมีโอเมกา-3น้อยกว่าปลาทะเล อาจต้องกินบ่อยครั้งขึ้น เพื่อให้ได้คุณค่าใกล้เคียงกัน
5. เมล็ดเปลือกแข็งกะเทาะเปลือก หรือ นัท (nuts) เช่น อัลมอนด์ วอลนัท ฯลฯ กินเป็นประจำช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจได้ 20-60%แถมยังเป็นแหล่งโปรตีนจากพืชชนิดดีด้วย เหมาะเป็นพิเศษสำหรับผู้ที่กินมังสวิรัติหรือกินเจ (ถ้าจะกินนัทให้ได้ผลดีจริงๆ แนะนำให้กิน 1กำมือประมาณ 8เมล็ดอัลมอนด์ หรือแช่เมล็ดอัลมอนด์ดิบ 4ชั่วโมงแล้วหุงพร้อมข้าว จะทำให้คุณค่าทางอาหารของข้าวสูงขึ้น ถ้าบดหรือทุบก่อนผสมข้าวจะทำให้ข้าวหอมขึ้น
เมล็ดพืชบ้านเราที่ไม่ใช่นัท ทว่า...มีโปรตีนสูงและมีไขมันไม่อิ่มตัวตำแหน่งเดียวสูงคล้ายนัท คือ ถั่วลิสง โดยทิ้งเมล็ดที่ลอยน้ำทันทีที่แช่ 4-10ชั่วโมง เช่น แช่ค้างคืน แล้วหุงรวมไปกับข้าวได้ (ข้าวกล้องก็แช่ค้างคืนได้ ข้าวบางส่วนจะงอก ทำให้มีวิตามิน สารอาหารเพิ่มขึ้นและนุ่มขึ้น)
6. ช็อกโกแลตสีเข้ม (dark chocolate) หรือ โกโก้ ช็อกโกแลตขนาดต่ำๆ ประมาณ 1ชิ้นเท่าเล็บหัวแม่มือ ดีกับสุขภาพหัวใจ


ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ข้อมูลโดย นพ.วัลลภ พรเรืองวงศ์ โรงพยาบาลห้างฉัตร ลำปาง

ผลวิจัยนานาชาติพบ "ความอ้วน" ต้นเหตุก่อมะเร็ง-เสี่ยงตายก่อนวัย


นายวิทยา บุรณศิริ รมว.กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า รัฐบาล มีนโยบายเร่งสร้างหลักประกันสุขภาพให้ประชาชนไทย ได้รับบริการที่มีคุณภาพมาตรฐานเท่าเทียมกันทุกสิทธิ หัวใจสำคัญ คือ การป้องกันไม่ให้ประชาชนเจ็บป่วย ซึ่งแสดงถึงการมีระบบสุขภาพที่มั่นคง ยังไม่มีประเทศใดทำได้สำเร็จ การป้องกันโรคติดเชื้อหรือโรคติดต่อบางโรคมีวัคซีนป้องกัน เช่น ไข้หวัดใหญ่ โรคโปลิโอ แต่ในโรคที่ไม่ติดต่อซึ่งเป็นสาเหตุการป่วยของคนไทยป่วยกันมากที่สุดในขณะนี้ 5 โรค ได้แก่ เบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจขาดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง และมะเร็ง ยังไม่มีวัคซีนป้องกัน ต้องอาศัยการปลูกฝังพฤติกรรมให้ประชาชนปฏิบัติด้วยตนเอง ทั้งการออกกำลังกาย การกินอาหาร ทั้ง 2 เรื่องนี้ หากไม่สมดุลจะทำให้เกิดโรคอ้วน และก่อให้เกิดโรคอื่นตามมาได้อีกจำนวนมาก
นอกจากนี้ ผลวิจัยองค์การวิจัยโรคมะเร็งนานาชาติ (International Agency Of Research On Cancer หรือ IARC) ได้วิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับโรคอ้วนกับความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งพบว่า ความอ้วน เป็นสาเหตุการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ ร้อยละ 11 เกิดมะเร็งเต้านมในวัยหมดประจำเดือนร้อยละ 9 มะเร็งปากมดลูก ร้อยละ 39 มะเร็งที่ไต ร้อยละ 25 และมะเร็งหลอดอาหาร ร้อยละ 37
ซึ่งตรงกับรายงานของสถาบันวิจัยมะเร็งแห่งอเมริกา และมูลนิธิวิจัยโรคมะเร็งโลก รายงานว่า ความอ้วนเกี่ยวข้องกับการเกิดโรคมะเร็งที่อวัยวะหลายส่วน ได้แก่ หลอดอาหาร ตับอ่อน ลำไส้ เต้านมในวัยหมดประจำเดือน มดลูก และไต นอกจากนั้นยังมีการศึกษาพบว่าคนอ้วนจะเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมากที่รุนแรงด้วย โดยประมาณการว่า ร้อยละ 20 ของโรคมะเร็งทั้งหมด มีสาเหตุเกิดจากโรคอ้วน ซึ่งผลการสำรวจสุขภาพประชาชนไทยครั้งที่ 4 ในปี 2552 โดยสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข พบว่า คนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป มีภาวะอ้วนเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 27 ในปี 2547 เป็นร้อยละ 35 ในปี 2552 โดยโรคอ้วนยังเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดภาวะพิการ และการตายก่อนวัยอันควร


ที่มา : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

หมอแนะกินผักออกกำลังลดตายมะเร็งเต้านม


กรมอนามัยเตือนภัยสตรีพบมะเร็งเต้านมอันตรายอัตราการตายมากกว่ามะเร็งปากมดลูกแนะกินผักออกกำลัง
นพ.สมยศ ดีรัศมี อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า แม้มะเร็งเต้านมจะพบน้อยกว่ามะเร็งปากมดลูก แต่อัตราการเสียชีวิตจะมากกว่า การเป็นมะเร็งเต้านมจะไม่รู้ล่วงหน้าและไม่มีอาการบ่งบอก สาเหตุโดยตรงที่ทำให้เกิดมะเร็งเต้านมยังไม่ทราบแน่ชัด แต่ประมาณร้อยละ 25 ของผู้ป่วยพบว่ามีปัจจัยเสี่ยงหลายอย่างที่เกี่ยวข้องกับการเกิดมะเร็งเต้านม คือ กลุ่มคนที่มีประจำเดือนครั้งแรกเมื่ออายุยังน้อย หรือหมดประจำเดือนเมื่ออายุมาก ขาดการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ประวัติครอบครัวมีญาติพี่น้องสายตรงเป็นมะเร็งเต้านม การรับประทานอาหารไขมันมาก การดื่มเหล้า เป็นต้น
ส่วนอีกร้อยละ 75 ของผู้ป่วยยังไม่รู้สาเหตุแน่ชัดว่าเกี่ยวกับอะไร ประมาณว่าในช่วงชีวิตของผู้หญิง 1 ใน 10 คน จะมีโอกาสเป็นมะเร็งเต้านมได้และมักพบในสตรีอายุ 40 ปี ขึ้นไปแต่ในสตรีอายุ 20–30 ปี ก็พบได้บ่อยเช่นกัน ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมาพบแพทย์ด้วยอาการ มีก้อน และแผลที่เต้านม หรือมีเลือดหรือน้ำเหลืองไหลจากหัวนม ซึ่งจะมีการลุกลามและแพร่กระจายไปแล้วประมาณร้อยละ 56
สำหรับการป้องกันมะเร็งเต้านมคือ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ รับประทานผักและผลไม้ให้มากขึ้น ลดอาหารไขมัน แต่ที่ดีที่สุดคือการตรวจพบให้เร็วที่สุดตั้งแต่ระยะเริ่มแรก เพราะสามารถรักษาโรคให้หายขาดได้ ทำได้ 3 วิธีคือ 1) การตรวจเต้านมด้วยตนเอง และ2)การตรวจเต้านมโดยแพทย์ 3) การตรวจด้วยเครื่องเอ็กซเรย์เต้านม (Mammography)

22 ก.ย.วันรณรงค์โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวโลก


ชมรมโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวฯ เผยสถิติผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเรื้อรังทั่วโลกมีประมาณ 1-2 รายต่อประชากร 1 แสนคน  เตรียมจัดวันรณรงค์โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวโลก 22 ก.ย.นี้

22 ก.ย.วันรณรงค์โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวโลก

ศ.พญ.แสงสุรีย์ จูฑา ประธานชมรมโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเรื้อรังแบบมัยอีลอยด์แห่งประเทศไทย (Thai CML Working Group) เปิดเผยว่า ในปี 2555 นี้ ทางชมรมฯ ได้ร่วมกับกลุ่มตัวแทนผู้ป่วยภายใต้ Thai CML Patient Group ให้ความรู้เรื่องโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว CML และประชาสัมพันธ์งาน "วันโรคมะเร็ง เม็ดเลือดขาวชนิดเรื้อรังแบบมัยอีลอยด์แห่งโลก"หรือ World Awareness Day 2012 อย่างเป็นทางการในประเทศไทย เพื่อให้สอดคล้องกับกลุ่มผู้ป่วย CML ทั่วโลก ที่กำหนด ให้วันที่ 22 กันยายนของทุกปี เป็นวันแห่งการรณรงค์โรค CML โดยทางชมรมจะจัดงานขึ้น ในวันที่ 22 กันยายนนี้ เวลา 10.00-11.30 น. ณ ห้องประชุมอรรถสิทธิ์ เวชชาชีวะ ชั้น 5 อาคารศูนย์การแพทย์สิริกิติ์ โรงพยาบาลรามาธิบดี

ทั้งนี้ โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเรื้อรังแบบมัยอีลอยด์ ทางการแพทย์ยังไม่ทราบถึงสาเหตุที่แน่ชัด และไม่ได้เป็นโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม ซึ่งจากสถิติผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเรื้อรัง หรือ CML ทั่วโลกมีประมาณ 1-2 รายต่อประชากร 1 แสนคน โดยโรคนี้จะมีการสร้างเม็ดเลือดขาวที่สูงผิดปกติ โดยสามารถทราบได้จากการตรวจสุขภาพทั่วไป สำหรับอาการที่พบได้แก่ อ่อนเพลีย ไม่มีแรง น้ำหนักลด คลำเจอก้อนที่ชายโครงซ้าย หรือผู้ป่วยบางรายอาจจะไม่มีอาการผิดปกติใดๆ 

9 อุปนิสัยที่ทำให้เลิกเหล้าได้สำเร็จ


อุปนิสัย คือ แบบแผนพฤติกรรมที่เกิดขึ้นซ้ำๆ จนเคยชิน อุปนิสัยที่ดีมีส่วนเสริมให้ผู้ป่วยประสบความสำเร็จ มีความสุข และมั่นคงทางจิตใจ อุปนิสัยเป็นสิ่งที่เรียนรู้ได้ บ่มเพาะให้มากขึ้นได้ โดยการประพฤติปฏิบัติบ่อยๆ จนเกิดความเคยชิน อุปนิสัยที่พึงประสงค์และเอื้อต่อการประสบความสำเร็จในการเลิกสุรา มีดังนี้
อุปนิสัยยอมรับความจริง
การยอมรับความจริงว่าเรามีปัญหาชีวิต  จิตใจก็จะสงบลง เป็นการเปิดโอกาสให้เราได้พิจารณาปัญหาอย่างที่มันเป็นจริง  ก็ทำให้เรามีโอกาสเห็นทางออกของการแก้ปัญหาได้มากขึ้น
อุปนิสัยสตินิยม
ชีวิตที่ผ่านมา เรามักปล่อยให้อารมณ์และความอยากครอบงำ ทำอะไรไปตามอารมณ์และความอยาก เราจะสุขได้ก็ต้องทุกข์ก่อน จึงเรียกได้ว่า มีชีวิตที่ติดลบ แต่หากชีวิตเรามีสตินำ อยู่กับปัจจุบัน  รู้เท่าทันอารมณ์และความอยาก จิตเป็นอิสระและสงบ มีความสุขที่เกิดขึ้น ก็เรียกได้ว่า มีชีวิตที่เป็นบวก ความคิดและการกระทำก็เป็นเหตุผล
อุปนิสัยซื่อสัตย์เปิดเผยความจริง
การกระทำความผิดทำให้คนเราปิดบังซ่อนเร้น พูดไม่จริงเพื่อเอาตัวรอด ส่วนลึกในจิตใจก็ไม่เคารพนับถือตนเองที่ได้ทำผิดไป และไม่ซื่อสัตย์ การที่คนเรามีความซื่อสัตย์ เปิดเผยความจริง กล้ายอมรับผิด โดยเฉพาะกับคนใกล้ชิดที่จริงใจ และพร้อมที่จะช่วยเหลือเรา ก็จะเอื้อต่อการแก้ปัญหาต่อไป
อุปนิสัยกล้าคิดและกล้าทำ
ช่วยทำให้เราประสบความสำเร็จ มีความรับผิดชอบในตนเอง เกิดความภาคภูมิใจ และมีความเชื่อมั่นว่าเราทำได้ เราอาจเริ่มต้นจากการใช้ปัญญาพิจารณาถึงเป้าหมายในชีวิตที่ดีงามก่อน มองหาหนทางปฏิบัติ และลงมือทำ เรียนรู้จากข้อผิดพลาด  พร้อมกับให้กำลังใจตนเองเมื่อทำได้
อุปนิสัยเป็นคนมีอารมณ์ขัน
การมีอารมณ์ขันช่วยให้เรามีมุมมองที่แตกต่างออกไป โดยเฉพาะพฤติกรรมบางอย่างของตนเอง ทำให้เรายอมรับตนเองได้มากขึ้น ว่าเราเองก็ไม่ได้เก่ง ไม่ได้ดีไปทุกๆ เรื่อง บางอย่างก็ดูตลกขบขัน อารมณ์ขันยังช่วยให้เราผ่อนคลายในสถานการณ์ที่ตึงเครียดได้ ช่วยให้เรามีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น
อุปนิสัยแห่งการให้อภัย
การสะสมความโกรธเครียดแค้น ไม่เป็นประโยชน์ต่อจิตใจเลย การละวางจากอารมณ์โกรธ แล้วให้อภัยแก่ผู้ที่กระทำไม่ดีกับคุณ แถมยังแผ่เมตตาให้อีก จิตใจของคุณก็จะกลับเป็นสุขอย่างมหัศจรรย์ ที่สุดของการให้อภัย ก็คือ การให้อภัยตนเอง เป็นการยอมรับตนเองได้ว่าเราก็ไม่ได้ดีสมบูรณ์ไปทุกๆอย่าง สามารถกระทำผิดได้เช่นเดียวกับคนอื่นๆ
อุปนิสัยชอบเข้าหากัลยาณมิตร
ในการแก้ปัญหา บางครั้งเราไม่สามารถแก้มันได้เพียงลำพัง เราอาจต้องอาศัยปัญญาของผู้อื่นช่วยชี้นำทาง ที่สำคัญเราควรพิจารณาดูว่าผู้ใดสามารถเป็นกัลยาณมิตรในเรื่องต่างๆของเราได้
อุปนิสัยเป็นคนที่รับผิดชอบ
การโทษสิ่งอื่นว่าเป็นสาเหตุของปัญหา เป็นอุปสรรคต่อการเลิกสุรา การที่เรารับผิดชอบต่อพฤติกรรมของตัวเราเอง โดยยอมรับว่าเราเป็นผู้กระทำมันเอง หากกระทำผิดก็ยอมรับว่าผิด และขอโทษผู้อื่นอย่างจริงใจ จิตใจเราก็จะสบายขึ้น เกิดความเคารพนับถือตนเอง มีความระมัดระวังในการกระทำของตนเองมากขึ้น อีกทั้งคนอื่นก็เกิดความเชื่อมั่นในตัวเราว่าเรามีความจริงใจในการแก้ปัญหา โอกาสประสบความสำเร็จก็มีมากกว่า
อุปนิสัยห่วงใยใส่ใจในสุขภาพของตนเอง
ร่างกายเป็นที่ตั้งของจิตใจ หากร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ ก็ส่งผลให้จิตใจสมบูรณ์ การทำนุบำรุงสุขภาพตนเองสามารถกระทำได้โดยการหมั่นหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ การออกกำลังกาย การเล่นกีฬา การรับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์ การหลีกเลี่ยงสุรายาเสพติด
หากมีปัญหาหรือข้อสงสัย โทรมาคุยกับเราได้ที่ สายด่วน 1413 ศูนย์ปรึกษาปัญหาสุราทางโทรศัพท์

ไมเกรนไม่เอนเอียงกับสติปัญญา ไม่มีความแตกต่างกับผู้ที่ไม่ได้เป็น


นักวิจัยเผย ผู้ป่วยเป็นไมเกรนสามารถเบาใจได้ เหตุไม่ส่งผลกระทบต่อสติปัญญาในระยะยาว

ไมเกรนไม่เอนเอียงกับสติปัญญา ไม่มีความแตกต่างกับผู้ที่ไม่ได้เป็น

โรคปวดศีรษะไมเกรน ปวดศีรษะข้างเดียว เป็นโรคที่เป็นกันมากในหมู่สตรี ประมาณร้อยละ 20 แม้จะเป็นกันอยู่แพร่หลาย แต่ก็ยังคงมีปัญหาที่ยังมืดมนค้างคาอยู่อีกหลายอย่างเคยมีการศึกษาที่ทำกันมากล่าวกันไปต่างๆ นานา อย่างเช่นกล่าวว่า อาจเกี่ยวโยงกับโรคสมองเสื่อมหรือสติปัญญาเสื่อมก็ได้ แต่บัดนี้โรงพยาบาลบริกแฮมและโรงพยาบาลหญิงได้ศึกษารับรองว่า ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องสติปัญญา

ทีมนักวิจัยได้ใช้ข้อมูลจากเรื่อง “การศึกษาสุขภาพของสตรี” ซึ่งทำกับผู้หญิงอายุ 45 ปีขึ้นไป จำนวนเกือบ 40,000 คนพวกเขาได้รายงานผลการศึกษาว่า “เมื่อเทียบกับผู้หญิงผู้ที่ไม่มีประวัติโรคไมเกรน ผู้ที่เป็นไมเกรน ไม่ปรากฏว่าอัตราสติปัญญาเสื่อมแตกต่างกันอย่างใด ถือเป็นการค้นพบที่สำคัญทั้งแก่หมอและผู้ป่วย ผู้ป่วยและหมอต่างอุ่นใจได้ว่า การเป็นไมเกรน จะไม่มีผลกับสติปัญญาในระยะยาว”

ร่างกายผู้ชายเปราะบางยิ่งกว่าผู้หญิง เป็นเบาหวานแบบที่ 2 ได้ง่ายกว่ากัน


นักวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยกลาสโกว์ ของอังกฤษ ค้นพบว่า ผู้ชายจะเป็นโรคเบาหวานแบบที่ 2 ได้ง่ายกว่าผู้หญิง เพราะร่างกายสู้โรคโดยธรรมชาติได้น้อยกว่ากัน

 ร่างกายผู้ชายเปราะบางยิ่งกว่าผู้หญิง เป็นเบาหวานแบบที่ 2 ได้ง่ายกว่ากัน

พวกเขาพบว่า บุรุษเพศที่อ้วนน้อยกว่าสตรี ทั้งที่ดัชนีมวลกายต่ำกว่าก็เป็นได้ สงสัยว่าอาจเป็นเพราะแหล่งสะสมของไขมันอยู่ต่างที่กัน อาจมีส่วนสำคัญ ด้วยเหตุว่าผู้ชายจะมีไขมันสะสมอยู่ที่ตับและแถวรอบเอว ในขณะที่ของสตรีจะอยู่แถวใต้ผิวหนัง แถวโคนขาและสะโพก ซึ่งส่อว่าผู้หญิงคงต้องมีไขมันสะสม เป็นปริมาณมากกว่าเพศตรงกันข้าม จึงจะเป็นอันตรายถึงขีดจะเป็นโรค

โรคเบาหวานแบบที่ 2 เกิดจากมีน้ำตาลในเลือดมากเกิน เนื่องจากร่างกายขาดความสามารถที่จะควบคุมปริมาณน้ำตาลไว้ได้ เป็นเหตุให้อวัยวะต่างๆพากันเสื่อมสภาพ

นักวิจัยได้สรุปความเห็นว่า จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้บุรุษตามดินแดนหลายส่วนของโลก พากันป่วยเป็นเบาหวาน เกินหน้าผู้หญิงไปตามๆกัน
ที่มา : http://www.thaihealth.or.th/healthcontent/news/30058

"ความอ้วน" ต้นเหตุก่อมะเร็ง


ผลวิจัยนานาชาติพบ "ความอ้วน" ต้นเหตุก่อมะเร็ง-เสี่ยงตายก่อนวัย

"ความอ้วน" ต้นเหตุก่อมะเร็ง

นายวิทยา บุรณศิริ รมว.กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า รัฐบาล มีนโยบายเร่งสร้างหลักประกันสุขภาพให้ประชาชนไทย ได้รับบริการที่มีคุณภาพมาตรฐานเท่าเทียมกันทุกสิทธิ หัวใจสำคัญ คือ การป้องกันไม่ให้ประชาชนเจ็บป่วย ซึ่งแสดงถึงการมีระบบสุขภาพที่มั่นคง ยังไม่มีประเทศใดทำได้สำเร็จ การป้องกันโรคติดเชื้อหรือโรคติดต่อบางโรคมีวัคซีนป้องกัน เช่น ไข้หวัดใหญ่ โรคโปลิโอ แต่ในโรคที่ไม่ติดต่อซึ่งเป็นสาเหตุการป่วยของคนไทยป่วยกันมากที่สุดในขณะนี้ 5 โรค ได้แก่ เบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจขาดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง และมะเร็ง ยังไม่มีวัคซีนป้องกัน ต้องอาศัยการปลูกฝังพฤติกรรมให้ประชาชนปฏิบัติด้วยตนเอง ทั้งการออกกำลังกาย การกินอาหาร ทั้ง 2 เรื่องนี้ หากไม่สมดุลจะทำให้เกิดโรคอ้วน และก่อให้เกิดโรคอื่นตามมาได้อีกจำนวนมาก

นอกจากนี้ ผลวิจัยองค์การวิจัยโรคมะเร็งนานาชาติ (International Agency Of Research On Cancer หรือ IARC) ได้วิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับโรคอ้วนกับความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งพบว่า ความอ้วน เป็นสาเหตุการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ ร้อยละ 11 เกิดมะเร็งเต้านมในวัยหมดประจำเดือนร้อยละ 9 มะเร็งปากมดลูก ร้อยละ 39 มะเร็งที่ไต ร้อยละ 25 และมะเร็งหลอดอาหาร ร้อยละ 37

ซึ่งตรงกับรายงานของสถาบันวิจัยมะเร็งแห่งอเมริกา และมูลนิธิวิจัยโรคมะเร็งโลก รายงานว่า ความอ้วนเกี่ยวข้องกับการเกิดโรคมะเร็งที่อวัยวะหลายส่วน ได้แก่ หลอดอาหาร ตับอ่อน ลำไส้ เต้านมในวัยหมดประจำเดือน มดลูก และไต นอกจากนั้นยังมีการศึกษาพบว่าคนอ้วนจะเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมากที่รุนแรงด้วย โดยประมาณการว่า ร้อยละ 20 ของโรคมะเร็งทั้งหมด มีสาเหตุเกิดจากโรคอ้วน ซึ่งผลการสำรวจสุขภาพประชาชนไทยครั้งที่ 4 ในปี 2552 โดยสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข พบว่า คนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป มีภาวะอ้วนเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 27 ในปี 2547 เป็นร้อยละ 35 ในปี 2552 โดยโรคอ้วนยังเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดภาวะพิการ และการตายก่อนวัยอันควร
ที่มา : http://www.thaihealth.or.th/healthcontent/news/30074

วัยรุ่นไทยเมินถุงยาง เชื่อครั้งเดียวไม่ท้อง



กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เดินสายสร้างทัศนคติที่ถูกต้องเกี่ยวกับเพศสัมพันธ์ เพื่อพัฒนาสุขภาพวัยรุ่นและป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควร
โดยในวันที่ 22 ส.ค. ได้เดินสายไปที่ รร.มัธยมวัดดุสิตาราม กทม. นพ.สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ รมช.สธ. เปิดเผยว่า การรณรงค์สร้างความรู้ความเข้าใจในเรื่องเพศศึกษาอย่างถูกต้องให้แก่วัยรุ่น เริ่มนำร่องในโรงเรียนที่อยู่ใน กทม.และปริมณฑลก่อน 12 แห่ง ได้แก่ 1.รร.ไทยบริหารธุรกิจ 2.รร.บดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) 2 3.รร.มัธยมวัดดุสิตาราม 4.รร.มัธยมวัดสิงห์ 5.รร.เอสแบคนนทบุรี 6.รร.เตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ 7.รร.มัธยมวัดเบญจมบพิตร 8.รร.สามเสนวิทยาลัย 9.รร.ศีลาจารพิพัฒน์ 10.รร.บดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) 11.รร.เอสแบค สะพานใหม่ และ 12.รร.สาธิตเกษตร โดยจะจัดต่อเนื่องไปจนถึงวันที่10 ก.ย.2555 นี้
รมช.สธ.กล่าวต่อว่า จากสถิติในปี 2554 พบว่าวัยรุ่นหญิงของไทยอายุ 10-19 ปี คลอดบุตรจำนวน 131,4000 คน เฉลี่ยชั่วโมงละ 15 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 17 ของหญิงคลอดบุตรทั้งหมดในประเทศ ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยการคลอดบุตรในวัยรุ่นระดับโลกที่มีร้อยละ 11 และสูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศอื่นในทวีปเอเชีย ที่พบร้อยละ 14 ทั้งหมดนี้ส่วนหนึ่งเกิดมาจากมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการร่วมเพศ คิดว่าการร่วมเพศครั้งเดียวแล้วจะไม่ตั้งครรภ์ การใช้ถุงยางอนามัยจะขัดขวางความรู้สึกทางเพศ โดยร้อยละ 80 เป็นการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ ทำให้วัยรุ่นตัดสินใจยุติการตั้งครรภ์หรือทำแท้ง ซึ่งเป็นวิธีการที่ไม่ปลอดภัย เสี่ยงอันตรายและอาจเสียชีวิตได้ และยังพบอีกว่ามีวัยรุ่นที่ตั้งครรภ์ติดเชื้อเอชไอวีเพิ่มขึ้นด้วย รวมทั้งกลุ่มวัยรุ่นเป็นกลุ่มที่ติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มากที่สุด ประมาณร้อยละ 30 ของผู้ใช้บริการทั้งหมดด้วย จึงต้องเร่งแก้ไขป้องกันร่วมกันระหว่างหน่วยงาน
"ในการรณรงค์ให้วัยรุ่นไทยมีความรู้เรื่องเพศศึกษาอย่างเหมาะสม มีทัศนคติต่อการมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย ได้จัดทำแผนดำเนินการต่อเนื่อง4 ปี ตั้งแต่ พ.ศ.2555-2559 โดยมีการเสริมสร้างทักษะชีวิต พัฒนาความเข้มแข็งทางจิตใจ ให้ความรู้เพศศึกษา ป้องกันและแก้ไขปัญหาพฤติกรรม รวมทั้งส่งเสริมการดูแลสุขภาพวัยรุ่นและเยาวชนไทย โดยได้จัดตั้งคลินิกจิตสังคมในโรงพยาบาลสังกัดกรมสุขภาพจิต และโรงพยาบาลชุมชน หรือ รพช. ทั่วประเทศ รวมประมาณ 1,000 แห่ง ให้บริการวัยรุ่นทุกเรื่องรวมทั้งให้คำปรึกษาครอบ ครัวที่มีลูกอยู่ในวัยรุ่นด้วยบริการที่เป็นมิตร"
สำหรับกิจกรรมของโครงการนี้ประกอบด้วย เวทีเสวนาให้ความรู้ความเข้าใจเรื่องเพศศึกษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ การตอบคำถามจากดารารับเชิญ บูธกิจกรรม และนิทรรศการสื่อสารความรู้ความเข้าใจเรื่องเพศศึกษาโดยกรมอนามัยกรมควบคุมโรค กรมสุขภาพจิต และกระทรวงวัฒนธรรม การประกวดดนตรีและแต่งเพลงเป็นสื่อสร้างความรู้ความเข้าใจเรื่องเพศหรือ SMART TEEN "love : say play".

นอนเต็มอิ่ม แต่ทำไมยังง่วงล่ะ ?



ยุคที่ต้องใช้กำลังกายและกำลังสมองทำงานอย่างหนักในระหว่างวัน จนเหนื่อยล้าอ่อนแรงไปตามๆ กันพอตกกลางคืนก็อยากจะรีบเข้านอนเพื่อจะได้พักผ่อนออมแรงไว้เผื่อวันรุ่งขึ้นจะได้ตื่นขึ้นมาอย่างสดชื่นแจ่มใส แต่ที่ไหนได้ ขณะที่นั่งทำงานอยู่ดีๆ แต่เอ๊ะ! ทำไมจึงหาวออกมาเสียงฟอดใหญ่ แล้วรู่สึกเพลียมาก เห็นอะไรต่อมิอะไรที่อยู่ตรงหน้ากลายเป็นหมอนใบนุ่มน่าหนุนไปเสียอย่างนั้น ทั้งๆ ที่เมื่อคืนก็รีบเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำ เพราะอยากมีสุขภาพดีเหมือนคนอื่นๆ ดูบ้าง ตื่นเช้ามาก็ไม่ค่อยจะสดชื่น แถมรู้สึกง่วงมากกว่าเดิมเสียอีก มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ถ้าอย่างนั้น เรามาหาคำตอบกันดีกว่าค่ะ
อย่าลืมนะคะว่าจิตใจที่แจ่มใสอยู่ในร่างกายที่สมบูรณ์การนอนหลับพักผ่อนอย่าง เพียงพอนั้นมีความสำคัญต่อสุขภาพของเราเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากในขณะที่เรานอนหลับนั้น ระบบต่างๆ ของร่างกายก็จะพักตามไปด้วย การหายใจจะช้าลงอย่างสม่ำเสมอ มีการหลั่งฮอร์โมนช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ แต่ในทางกลับกันหากนอนไม่พอ ร่างกายก็จะอ่อนเพลีย ไม่มีแรง เกิดอาการเวียน ศรีษะ คิดไม่ออก เสี่ยงต่อโรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง และโรคอ้วน จากการศึกษาพบว่า การนอนที่เพียงพอทำให้คุณรับประทานอาหารลดลง ลดความอยากรับประทานลงอีกด้วย แต่ในขณะเดียวกันการนอนหลับที่ไม่มีคุณภาพก็อาจจะทำให้รู้สึกเหมือนไม่ได้ พักผ่อน และก็ทำให้อยากอาหารมากกว่าปกติ ซึ่งอาจเกิดจากหลากหลายสาเหตุ เช่น
- มีเรื่องไม่สบายใจ เครียดกังวลจนทำให้สมองรู้สึกเครียดอยู่ตลอดเวลาโดยไม่รู้ตัว
- เกิดลมในช่องท้องมากเกินไป ทำให้การไหลเวียนเลือดต่ำ และรวมถึงมีอาการท้องผูก ทำให้รู้สึกอึดอัดไม่สบายตัว
- ภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ (Sleep apnea) เป็นภาวะความผิดปกติอย่างหนึ่งของการหายใจที่เกิดขึ้นในระหว่างการนอนหลับมี อันตราย และทำให้เกิดความผิดปกดติอื่นจน ถึงเสียชีวิตได้ พบภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับได้บ่อยครั้งในคนอ้วน เพศชาย ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยที่มีโรคความดันเลือดสูงจะทำให้สะดุ้งตื่นขึ้นมาบ่อย ในระหว่างนอนหลับ รู้ตัวบ้าง ไม่รู้ตัวบ้าง เพื่อหายใจ ทำให้เรารู้สึกเหมือนไม่ได้นอน
- ภายในห้องอาจจะมีเสียงรบกวนอยู่ตลอดเวลาโดยที่เราไม่รู้ตัว เช่น เสียงหยดน้ำ เสียงเครื่องปั๊มน้ำ เสียงแอร์ที่ดังเกินไป เสียงพัดลม เสียงเข็มนาฬิกาเดิน เป็นต้น เสียงเหล่านี้อาจจะแทนกเข้าไปในความรู้สึกและคลื่นสมองของเราระหว่างนอนได้ ทำให้รบกวนการนอน และนอนไม่เต็มอิ่ม มานอนหลับพักกายใจอย่างมีคุณภาพกันเถอะ
- บุหรี่ สุรา ชา กาแฟ เครื่องดื่มคาเฟอีนต่างๆ งดและลืมไปได้เลย อย่างน้อยๆ ก็ 6 ชั่วโมงก่อนเข้านอน เนื่องจากเครื่องดื่มเหล่านี้กระตุ้นสมองและทำให้ปัสสาวะบ่อย จนรบกวนการนอนได้ แถมไม่ดีต่อสุขภาพอีกต่างหาก
- เข้านอน และตื่นนอนให้ตรงเวลาทุกวันจนเคยชิน แรกๆ ก็อาจจะไม่คุ้นเคย แต่รับรองว่าเมื่อบ่อยครั้งเข้าจะชินไปเอง
- จัดระเบียบการใช้ชีวิตให้ดีๆ สะสางปัญหาการงานที่คั่งค้าง และวิธีการแก้ไข เพื่อความสบายใจ และนอนหลับง่าย
- ออกกำลังกายก่อนหน้าที่จะเข้านอนอย่างน้อย 2 – 3 ชั่วโมง จะช่วยให้นอนหลับสนิทมากขึ้น
- จัดห้องนอนให้สะอาด น่านอนไม่มีแสงรบกวน หมั่นทำความสะอาดเครื่องนอนอยู่เสมอ เอาไปตากแดดจัดๆ ป้องกันไรฝุ่น หาหมองที่พอดีกับต้นคอ เพื่อช่วยให้นอนหลังสนิท ไม่ปวดต้นคอและหลังจะช่วยให้ผ่อนคลายมากขึ้น
- สวดมนต์ หรือนั่งพักผ่อนสบายๆ สักพักก่อนนอน เพื่อให้สมองคลายกังวลจากเรื่องเครียดๆ อาจจะฟังเพลงเพราะๆ สูดอากาศที่บริสุทธ์ หรือดมน้ำมันหอมระเหยกลิ่นที่ชอบ
- ดื่มน้ำอุ่น หรือนมอุ่นก่อนนอนจะช่วยในการนอนหลับ เพราะกรดอะมิโนทริปโตฟานทำให้ง่วงนอนได้ หลีกเลี่ยงการดูดหรือฟังเรื่องตื่นเต้น น่ากลัว เพราะจะกระตุ้นให้เราไม่หลับ

ไอศกรีม(ไม่)จี๊ด..ขึ้นหัว


บางคนเวลากินของเย็นมากๆ อาจจะรู้สึกเสียวฟัน ขนลุก และหลายคนคงจะเคยมีอาการ "จี๊ด" ขึ้นสมอง ถึงขนาดปวดหัวตุบๆ เลยทีเดียวเมื่อรับประทานไอศกรีม

ไอศกรีม(ไม่)จี๊ด..ขึ้นหัว

อาการแบบนี้ไม่ได้หมายความว่าคุณป่วยหรอกนะ แต่คุณหมอบอกว่า เป็นเพราะเส้นเลือดบริเวณเพดานปากของคนเรานั้นแสดงปฏิกิริยาป้องกันโดยอัตโนมัติ ไม่ให้ความร้อนออกจากร่างกายส่งผลกระทบไปยังสมอง ดังนั้นต่อไปถ้ากินไอศกรีมแล้วไม่อยากเกิดอาการนี้คุณหมอแนะว่า ให้ค่อยๆ และเล็มไอศกรีมให้ละลายบนลิ้นก่อน หรือถ้าใครเกิดลืมแล้วปวดหัวจี๊ดขึ้นมาก็ลองเอาลิ้นดันที่เพดานปากสักพักค่ะ

5 เคล็ดลับ…สวยจากภายใน


เชื่อว่าผู้หญิงทุกคนฝันอยากมีหุ่นสวย สุขภาพดี หลายคนคิดได้เพียงแค่การเริ่มต้นลดน้ำหนัก หากลดน้ำหนักมากจนเกินไปอาจจะหุ่นสวยแต่สุขภาพไม่ดี แต่จะทำอย่างไรให้หุ่นสวยและดีจากภายในสู่ภายนอก

5 เคล็ดลับ…สวยจากภายใน

นอน งงไหมล่ะคะ ว่าการนอนจะทำให้เราหุ่นดีขึ้นได้อย่างไร เพราะทุกครั้งที่เรายังไม่นอน ร่างกายไม่สามารถหยั่งรู้ได้ว่าคุณกำลังทำอะไร แต่ร่างกายจะบอกเพียงแค่ว่า คุณกำลังเครียด และรู้สึกว่าร่างกายของตนเองกำลังอยู่ในภาวะอันตราย ดังนั้นเมื่อทุกครั้งที่คุณนอนไม่หลับ ระบบในร่างกายจะหลั่งสารคอติโซนออกมาอย่างอัตโนมัติ เพื่อเป็นการเก็บไขมันสะสมไว้เป็นเสบียง เหตุที่ร่างกายต้องนอนให้ครบทั้ง 8 ชั่วโมง เพื่อร่างกายจะหลั่งโกรทฮอร์โมนออกมา ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่จะช่วยในการเผาผลาญไขมันและซ่อมแซมร่างกาย

การทำอะไรเพลิน ๆ จนลืมตัว อาการที่คุณทำจะคิดว่าเริ่มรำคาญ ไม่รู้ตัวว่าตัวเองทำท่าทางเหล่านั้นตอนไหน เช่น กระดิกเท้า หมุนปากกา เขย่าขา เหล่านี้ช่วยเผลาผลาญไขมันได้ เพราะเคยมีการวิจัยออกมาว่าอาการเหล่านี้ถูกทำออกมาจากจิตใต้สำนึกที่ไม่รู้ตัว จะช่วยเผาผลาญไขมันได้ แม้จะเป็นกิริยาที่ออกแรงเบา ๆ แต่การกระทำนี้ถ้ารวมกันเป็นปี จะช่วยให้คุณลดไขมันได้เป็นพันแคลอรี่

หัวเราะ ก็ช่วยให้คุณหุ่นดีได้ เพราะการหัวเราะจะนำสารแห่งความสุข ทำให้ร่างกายหลั่งสารคอติโซนออกมาน้อย ทำให้ไม่มีการเก็บสะสมไขมัน ที่สำคัญอย่าเครียด อาการเครียดจะส่งผลให้คุณกิน กิน กิน เพื่อให้ตนเองรู้สึกดีขึ้น

ดูโทรทัศน์ให้น้อยลง และออกไปทำกิจกรรมอื่น ๆ ให้มากขึ้น หรือการยืนให้มาก ไม่ว่าจะทำกิจกรรมอะไรที่เปลี่ยนจากการนั่ง เป็นการยืนให้ได้มากที่สุด จะทำให้คุณได้ออกแรงช่วยให้กล้ามเนื้อแข็งแรงและสามารถเผาผลาญได้ดีขึ้น เลี่ยงการกินหน้าจอทีวีโดยเด็ดขาด เพราะการกินหน้าจอจะทำให้คุณกินเพลิน จนทำให้ร่างกายสะสมไขมันส่วนเกินมากเกินไป

นั่งสมาธิ หายใจลึก ๆ การหายใจเป็นการสูดออกซิเจนเข้าไปมากขึ้น เมื่อร่างกายได้รับออกซิเจนเข้าไปจะช่วยเผาผลาญและยังช่วยให้อวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายทำงานได้ดีขึ้น


ที่มา : http://www.thaihealth.or.th/healthcontent/healthtips/30255

ฉีดกลูต้าไธโอนระวังอาจถึงตาย


ฉีดกลูต้าไธโอนระวังตายถ้าได้รับในปริมาณมากๆ ที่ปรึกษารมว.สธ.เผย พบหลายยี่ห้อไม่ขอ อย. เตือนสาวๆ ให้ระวังเป็นอันตรายแก่ ตับและไต ด้านดส.รวบ พยาบาลสาว-ผู้ช่วยพยาบาลหนุ่ม รับจ๊อบฉีดกลูต้าไธโอน วิตามินซีน้ำ ให้หน้า-ตัวขาว สไตล์เกาหลี เผยหัวใส จัดโปรโมชั่นพิเศษรับบริการนอกสถานที่  พร้อมรับส่วนลดสุดๆ หลังจนมุมอ้างเอาไว้ใช้เอง

ฉีดกลูต้าไธโอนระวังอาจถึงตาย

วันที่ 3 ก.ย. พ.ต.อ.วิวัฒน์ คำชำนาญ ผกก.กองกำกับการสวัสดิภาพเด็กและสตรี กก.ดส.บชน. พ.ต.ท.สุทิน สวนดอกไม้ รอง ผกก. พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ จับกุมตัว น.ส.สิรินันท์ สารถ้อย อายุ 27 ปี พยาบาลรพ.แห่งหนึ่ง พร้อมยากลูต้าไธโอน (ยาฉีดหน้าขาว) ที่วัยรุ่นกำลังนิยมกันหลายสิบหลอด พร้อมเข็มฉีดยา และวิตามินซีแบบน้ำกว่า 20 ขวด นอกจากนั้นยังมียาฉีดยังไม่ทราบสรรพคุณที่นำเข้ามาจากประเทศญี่ปุ่นและไม่ผ่าน อย. อีกหลายหลอด จับกุมได้ที่บริเวณลานจอดรถชั้น 5 เซ็นทรัล พระราม 9 แขวงและเขตห้วยขวาง จุดที่สอง พ.ต.ท.กรีติศักดิ์ ก้องเกียรติศิริสว.งานสงเคราะห์และคุ้มครอง พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ กก.ดส.อีกส่วน เข้าจับกุม นายฐิติพัทธ์ เพชรทอง อายุ 23 ปี ผู้ช่วยพยาบาลแห่งหนึ่ง ภายในห้องเลขที่ 501 ทิพย์วัลย์แมนชั่น ซอยลาดพร้าว 132 แขวงและเขตบางกะปิ พร้อมด้วยของกลางยาฉีดกลูต้าไธโอน และยาฉีดบำรุงผิวอีกหลายยี่ห้อ น้ำเกลือขวดเล็ก เข็มฉีดยา 7 กล่อง

พ.ต.อ.วิวัฒน์ กล่าวว่า ได้รับการร้องเรียนว่ามีการโฆษณารับฉีดให้หน้าขาว ตามเว็บไซต์ต่างๆ จำนวนมากและยังมีบริการรับฉีดนอกสถานที่ โดยใช้รถไปให้บริการตามสถานที่ต่างๆ แล้วแต่ลูกค้านัดหมาย ส่วนมากจะเป็นลานจอดรถของห้างสรรพสินค้าต่างๆ จึงได้ส่งสายลับติดต่อให้มาฉีดให้ที่ลานจอดรถห้างเซ็นทรัลในราคา 4,000 บาท กระทั่งได้เวลานัดหมาย น.ส.สิรินันท์ ผู้ต้องหาขับรถมาจอดจึงแสดงตัวเข้าจับกุมพร้อมตรวจค้นพบยาอยู่ในรถจำนวนมาก ส่วนอีกรายหากไปฉีดที่ห้องเองจะได้ส่วนลดจ่ายเพียง 3,000 บาท ทั้งนี้จะนำตัวไปสอบสวนแหล่งที่ไปซื้อยามาจำหน่าย เบื้องต้นดำเนินคดีข้อหา ไม่ทำการรักษาพยาบาลในสถานที่พยาบาลและไม่มีใบประกอบวิชาชีพ และใช้ยาที่ไม่ผ่านการอนุญาตของ อย. ก่อนส่งตัวให้ท้องที่ดำเนินคดี

ด้าน นายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ ประธานที่ปรึกษารมว.กระทรวงสาธารณสุข ได้เดินทางมาตรวจสอบพร้อมเปิดเผยว่า จากการตรวจสอบยาที่พบในวันนี้เป็นยาฉีดกลูต้าไธโอนและวิตามินซีหลายยี่ห้อที่ไม่ขออนุญาตจากองค์การอาหารและยา และจะต้องนำยาทั้งหมดไปตรวจสอบว่ามีสารต้องห้ามหรือไม่ที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และตรวจสอบใบประกอบโรคศิลปะ จากการสอบถามผู้ต้องหาทั้งสองรายทราบว่าทำงานเป็นพยาบาลไม่ขอเปิดเผยชื่ออ้างว่าเอามาไว้ฉีดเอง แต่ในครั้งนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขออกกวดขันจับกุมอย่างจริงจัง ทั้งผู้จำหน่ายตามเว็บไซต์และที่รับฉีดเองนอกสถานที่แบบรายนี้ ขอเตือนผู้ที่นิยมฉีดสารหน้าขาวนี้ให้ระวังอันตราย เพราะสารกลูต้าไธโอนไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ในการทำศัลยกรรม เป็นสารที่มีอันตรายเมื่อรับเข้าไปจะทำอันตรายแก่ตับและไต ถ้าได้รับในปริมาณมากๆ อาจถึงแก่ชีวิตได้

ที่มา : http://www.thaihealth.or.th/healthcontent/news/30309

อย.เตือนใช้ทินท์ไม่ได้มาตรฐาน เสี่ยงแพ้ - ปากบวม


อย.เตือนวัยรุ่นสาวไทยนิยมใช้ทินท์ทาปากราคาถูก ไม่ได้มาตรฐาน เสี่ยงทำให้เกิดอาการแพ้ ปากบวมได้

อย.เตือนวัยรุ่นสาวไทยนิยมใช้ทินท์ทาปากราคาถูก ไม่ได้มาตรฐาน เสี่ยงทำให้เกิดอาการแพ้ ปากบวมได้

นพ.นรังสันต์ พีรกิจ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) เผยเป็นห่วงวัยรุ่นสาวในปัจจุบันที่นิยมนำ "ทินท์" หรือเครื่องสำอางทาริมฝีปากที่มีลักษณะเป็นน้ำใสสีแดง มาทาด้านในของริมฝีปาก เพื่อทำให้ริมฝีปากเป็นสีชมพูระเรื่อ แลดูมีสุขภาพ อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพได้หากใช้สินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งพบว่าในกลุ่มวัยรุ่นดังกล่าวนิยมซื้อทินท์จากตามตลาดนัด แผงลอย เพราะมีราคาไม่แพง และมีให้เลือกมากมายหลายระดับความเข้มของสี จึงอาจเป็นไปได้ที่จะมีการลักลอบนำผลิตภัณฑ์ทินท์ที่ไม่ได้มาตรฐาน ใช้สีต้องห้าม มาจำหน่าย มีความเสี่ยงสูงที่จะทำให้ผู้ใช้ได้รับอันตรายจากการกลืน หรือกินโลหะหนักที่ปนเปื้อนอยู่ในสี อาทิ ตะกั่ว ปรอท แคดเมียม เข้าไป ซึ่งจะก่อให้เกิดอาการระคายเคืองอย่างรุนแรง มีอาการตั้งแต่คลื่นไส้ อาเจียน ตาพร่ามัว หรือทำให้ริมฝีปากปวดแสบปวดร้อน คัน เห่อแดง บวม และลอกเป็นขุยได้

ทั้งนี้ อย.ได้เตือนให้ผู้บริโภคสังเกตและอ่านฉลากผลิตภัณฑ์ก่อนตัดสินใจซื้อ โดยฉลากจะต้องแสดงชื่อการค้า ชื่อเครื่องสำอาง ประเภทหรือชนิดของเครื่องสำอาง ชื่อของสารทุกชนิดที่ใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตเครื่องสำอาง วิธีใช้เครื่องสำอาง ชื่อและที่ตั้งของผู้ผลิตหรือผู้นำเข้า และชื่อผู้ผลิต และประเทศที่ผลิตกรณีเป็นเครื่องสำอางนำเข้า ปริมาณสุทธิ เลขที่แสดงครั้งที่ผลิต วันที่ที่ผลิต วันหมดอายุในกรณีที่เครื่องสำอางมีอายุการใช้น้อยกว่า 30 เดือน คำเตือน (ถ้ามี) และที่สำคัญต้องแสดงเลขที่ใบรับแจ้งบนฉลากหรือกล่องผลิตภัณฑ์ด้วย

ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบข้อมูลผลิตภัณฑ์ทินท์ได้ที่ เว็บไซต์สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาwww.fda.moph.go.th หรือสายด่วน อย. โทร. 1556.


ที่มา : http://www.thaihealth.or.th/healthcontent/news/30261

"กินเนสส์บุ๊ก"บันทึกสถิตินวดไทย


ไทยแลนด์ เมดิคัลฮับ ทำ "กินเนสส์บุ๊ก"บันทึกสถิตินวดไทย

"กินเนสส์บุ๊ก"บันทึกสถิตินวดไทย

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 30 ส.ค. น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงานมหกรรม Thailand Medical Hub Expo 2012 ศูนย์สุขภาพนานาชาติ ที่อาคารชาลเลนเจอร์ 2-3 อิมแพคเมืองทองธานี เพื่อประกาศชูไทยพร้อมเป็นผู้นำสุขภาพระดับโลกทั้งบุคลากร เทคโนโลยี และคุณภาพบริการทางการแพทย์แผนปัจจุบันและแผนไทย เนื่องจากโรงพยาบาลของไทยได้รับการรับรองมาตรฐานระดับนานาชาติเป็นอันดับ 1 ในเอเชีย และมีสปาไทย 33 แห่ง อยู่ในระดับโลก คาดว่า 5 ปีข้างหน้าบริการทางการแพทย์จะสร้างเม็ดเงินให้ไทยสูงถึง 8 แสนล้านบาท

น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า ขณะนี้ไทยมีบุคลาการที่เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ทั้งด้านโรคหัวใจ ศัลยกรรม และโรงพยาบาลก็มีเครื่องมือที่ทันสมัยเป็นที่ยอมรับของนานาชาติ ประกอบกับการบริการที่ดีมีน้ำใจของคนไทยทำให้การท่องเที่ยวด้านสุขภาพสร้างรายได้ให้กับประเทศแสนล้านบาท โดยรัฐบาลตั้งเป้าภายใน 5 ปีข้างหน้า จะทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางด้านการแพทย์

นายวิทยา บุรณศิริ รมว.สาธารณสุข กล่าวว่า สำหรับแผนยุทธศาสตร์เมดิคัลฮับ จะมี 4 ด้าน ได้แก่ 1 การบริการการรักษาพยาบาล 2 บริการการส่งเสริมสุขภาพ 3 บริการการแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก 4 ผลิตภัณฑ์สุขภาพและสมุนไพรไทยให้ได้มาตรฐานจีเอ็มพี โดยปัจจุบันโรงพยาบาลเอกชนของไทย ผ่านการรับรองมาตรฐานเจซีไอ ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับจากนานาชาติ 22 แห่ง ถือว่ามากที่สุดในเอเชีย ทำให้ประเทศไทยได้เปรียบประเทศอื่น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายในงานมีการทำลายสถิติโลกบันทึกลงกินเนสส์บุ๊ก โดยประเทศไทยได้รับมอบประกาศนียบัตร "นวดพร้อมกันมากที่สุดในโลก (The most people being massaged at the same time)" จำนวน 641 คู่ จำนวน 19 ท่า โดยใช้เวลานวดต่อเนื่อง 12 นาที อย่างสมบูรณ์แบบตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า โดยหมอนวดไทยที่ได้ผ่านการอบรมจากหลักสูตรที่ได้รับการรับรองจากกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ทั้งนี้จากสถิติเดิม 263 คู่ ที่ทำไว้เมื่อวันที่ 30 มี.ค.2553 ที่ประเทศออสเตรเลีย

ที่มา : http://www.thaihealth.or.th/healthcontent/news/30263